โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ คอลัมน์ บทความพิเศษ
ในสังคมอนุรักษ์นิยมกระแสความคิดหลักมักเสนอว่า คนรักเพศเดียวกัน หรือคนข้ามเพศ เป็นคนที่ผิดจากมนุษย์ธรรมดา และคนข้ามเพศจะได้รับการยอมรับต่อเมื่อทำตัวเป็นตัวตลกเท่านั้น แต่สำหรับนักสังคมนิยม เราตั้งคำถามว่า “เกย์ ทอม ดี้ กะเทย” เป็นมนุษย์เพี้ยน หรือ ระบบมันเพี้ยน? และเราตอบเองว่าปัญหาอยู่ที่ระบบทุนนิยมและสังคมชนชั้น เพราะระบบปัจจุบันเน้นครอบครัวจารีตแบบผัวเมียพ่อแม่ ซึ่งแนวคิดนี้กีดกันสิทธิทางเพศของคนรักเพศเดียวกัน ของคนข้ามเพศ และของสตรี
ผู้มีอำนาจในระบบทุนนิยม และผู้นำศาสนา มักพยายามสร้างภาพว่าในสังคมมีเพียงสองเพศเท่านั้น เพศอื่น ๆ ที่ดำรงอยู่ ถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องแปลกประหลาด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย สังคมไทยและสังคมเอเชียแถบนี้มีคน “เพศที่สาม” มาพันๆ ปี สังคมตะวันตกก็เช่นกัน
ในทางวิทยาศาสตร์มนุษย์ในภาพรวมไม่ได้มีแค่สองเพศ ทั้งในฐานะทางกาย เช่นอวัยวะเพศหรือดีเอ็นเอ หรือในฐานะเพศภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตใจความรู้สึก ดังนั้นมนุษย์มีความหลากหลายทางเพศตามธรรมชาติ
เหตุผลที่มีแนวคิดครอบครัวจารีตคือ มันเกี่ยวข้องกับการผลิตมนุษย์รุ่นต่อไป มันเกี่ยวกับความต้องการแรงงานรุ่นต่อไปแบบราคาถูก คือยกให้เป็นเรื่องภาระปัจเจกในการเลี้ยงเด็กของสังคม โดยผู้หญิงต้องรับภาระนี้เป็นหลัก การเอ่ยถึงวิธีอื่นในการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่ไม่ใช่ครอบครัวจารีตเป็นการท้าทายระบบ
แต่เมื่อทุนนิยมพัฒนามากขึ้นและดึงผู้หญิงเข้าไปในสถานที่ทำงานมากขึ้น เพราะขาดแคลนกำลังงาน ผู้หญิงเหล่านั้นมั่นใจที่จะพึ่งตนเอง และมั่นใจมากขึ้นที่จะรวมตัวกับผู้หญิงคนอื่นในการเรียกร้องสิทธิ การเรียกร้องสิทธิของมวลชนในรูปแบบนี้ให้กำลังใจกับ คนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ คนผิวดำ และคนที่ถูกกดขี่อื่นๆ เพื่อที่จะลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิของตนเองด้วย
นี่คือสาเหตุที่ชนชั้นปกครองเริ่มยอมในเรื่องสิทธิทางเพศบางส่วน แต่พยายามปกป้องครอบครัวจารีตในเวลาเดียวกัน มันแสดงถึงความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมทุนนิยม
บ่อยครั้งการต่อสู้ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจะขึ้นๆ ลงๆ ตามกระแสสากล เมื่ออยู่ในยุคขาลง ก่อนที่การต่อสู้จะก่อตัวขึ้นมาอีก คนที่เคยก้าวหน้าหลายคนจะถอยหลังลงคลองและหันมารับแนวคิดปฏิกิริยา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเฟมมินิสต์บางคนในตะวันตก ที่ออกมาโจมตีสิทธิของคนข้ามเพศ โดยอ้างว่าคนข้ามเพศที่เลือกจะเป็นผู้หญิง เป็น “ผู้หญิงจอมปลอม” และ “ใช้อภิสิทธิ์ของการที่เดิมเป็นชาย” มาเรียกร้องสิทธิของคนข้ามเพศ แถมมีการกล่าวหาเท็จว่าคนข้ามเพศแบบนี้แค่ต้องการเข้าไปในห้องน้ำสตรี เพื่อไปละเมิดร่างกายผู้หญิง ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวอย่างเลย และในความเป็นจริงคนข้ามเพศมักจะเป็นเหยื่อของความรุนแรงในสังคม
จุดยืนปฏิกิริยาอันนี้ของเฟมมินิสต์บางคน มาจากการที่เขาถอยหลังรับแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่มองว่าคนข้ามเพศ “ผิดปกติ” แต่พยายามกลบปกปิดความปฏิกิริยาของตนเองด้วยหน้ากากเท็จของแนวเฟมมินิสต์จอมปลอม
สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือพรรคการเมืองที่ปลุกระดมคนในสังคมเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมจะอธิบายว่าทำไมเราต้องสู้เพื่อสิทธิต่างๆ พร้อมจะอธิบายว่าจะสู้อย่างไร และพร้อมจะเถียงกับคนที่เห็นต่างเสมอ ไม่ว่าการต่อสู้จะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
การกดขี่ทางเพศมาจากสังคมชนชั้น
แนวเฟมมินิสต์ มองว่าระบบปัจจุบันเป็นระบบพ่อเป็นใหญ่ (patriarchy) ซึ่งหมายถึงการกดขี่ที่เพศชายกระทำต่อเพศหญิงทั้งภายในครอบครัวและในสถาบันสังคมอื่น ๆ แนวความคิดนี้มองว่าแอกที่ทับอยู่บนบ่าของสตรีคือ “ วัฒนธรรม” ดังนั้นต้องต่อสู้และยกเลิกวัฒนธรรมที่ส่งเสริมอำนาจของผู้ชาย แต่คำอธิบายว่าวัฒนธรรมถูกกำหนดจากอะไรไม่มีนอกจากจะอ้างชีววิทยา คือผู้หญิงต้องให้นมลูกและให้กำเนิดลูก แล้วความแตกต่างทางเพศนี้ก่อให้เกิดการจัดระเบียบสังคมที่มีชายเป็นใหญ่
ในทางรูปธรรมนั้น แนวนี้สนับสนุนให้ผู้หญิงเข้าไปมีบทบาทในทางโครงสร้างของสังคมในส่วนต่าง ๆ โดยละเลยประเด็นทางชนชั้น เช่น สนับสนุนผู้หญิงที่มีตำแหน่งสูง ๆ ในบริษัท โดยที่หญิงเหล่านั้นจะมีอำนาจให้คุณให้โทษกับลูกจ้างหญิงและชาย หรือ สนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยไม่พิจารณาจุดยืนของหญิงเหล่านั้น
กรอบสำคัญของแนวนี้อยู่ที่เพศ และที่สำคัญแนวความคิดนี้มองว่าปัญหามาจาก “ธรรมชาติถาวร” ของผู้ชาย ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงไม่มีวันแก้ไขได้เลย แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่าก่อนที่จะมีการกำเนิดสังคมชนชั้น ชายกับหญิงมีสถานะเท่าเทียมกัน
แนวความคิดมาร์คซิสต์ มองว่าวัฒนธรรมต่างๆ ค่านิยม แนวความคิดและโครงสร้างทางสังคม จะถูกกำหนดโดยลักษณะการเลี้ยงชีพของมนุษย์ในยุคต่างๆ ดังนั้นสถานภาพที่สตรีถูกกดขี่ จะต้องมีปัจจัยตัวอื่นมากำหนดที่ไม่ใช่ชาติพันธ์ หรือสรีระวิทยา สภาพทางสังคมในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่มีมาโดยธรรมชาติ แต่เป็นผลมาจากการพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาในแต่ละยุคสมัย
ในหนังสือ “กำเนิดครอบครอบครัว ทรัพย์สินส่วนตัว และรัฐ” ของ เองเกิลส์ ซึ่งอาศัยการค้นคว้าข้อมูลจากการศึกษาของนักมนุษวิทยา เองเกิลส์ เสนอว่าฐานะของสตรีนั้นมีจุดตั้งต้นและคลี่คลายออกมาจากระบบการผลิตและฐานะทางครอบครัว ในยุคแรกๆ มนุษย์อยู่กันเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวและไม่มีคู่สมรสถาวรแบบผัวเดียวเมียเดียว หญิงกับชายมีฐานะเท่าเทียมกัน แต่เมื่อมนุษย์พัฒนาการเลี้ยงชีพจนเกิด “ส่วนเกิน” จากความต้องการวันต่อวัน ทรัพย์สินส่วนตัวก็เกิดขึ้นได้ และการที่ชายถืออาวุธในการล่าสัตว์อยู่ในมือ มีกำลังทางกายเหนือหญิง และมีบทบาทในการรวบรวมส่วนเกินมากกว่าหญิง (โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ในยุคแรกๆ) ทำให้ชายได้เปรียบหญิง การสืบทอดมรดกผ่านชายจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชายอาวุโสที่เริ่มแย่งอำนาจ การสร้างครอบครัวใหม่แบบหญิงมีผัวเดียวเพื่อให้ชายอาวุโสรู้ว่าลูกของตนคือใครจึงเกิดขึ้น และหญิงก็ตกเป็นพลเมืองชั้นสองถ้าเทียบกับชาย ในเวลาเดียวกันชายที่เข้มแข็งที่สุดสามารถตั้งตัวเป็นใหญ่และบังคับให้มนุษย์คนอื่น ทั้งชายและหญิง ตกเป็นทาสของตนเอง สังคมชนชั้นจึงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับส่วนเกิน ทรัพย์สินส่วนตัว และครอบครัวรูปแบบใหม่ดังกล่าว
เราพอจะสรุปหลักการณ์ใหญ่ๆ ของแนวมาร์คซิสต์ได้ดังนี้
1) การกดขี่ทางเพศไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่มาจากสรีระ เราจึงยกเลิกได้และควรยกเลิก
2) การกดขี่ทางเพศเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแบ่งมนุษย์ทั้งชายและหญิงออกเป็นชนชั้น
3) ครอบครัวคือสถาบันสำคัญในการกำหนดและกล่อมเกลาความคิดแบบกดขี่ทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคม แต่รูปแบบครอบครัวปัจจุบันไม่ใช่รูปแบบที่มาจากธรรมชาติ รูปแบบครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงเสมอตามยุคของระบบการผลิต
4) วิธีแก้ปัญหาการกดขี่ทางเพศในระยะยาวต้องประกอบไปด้วยการจัดการเปลี่ยนสังคม ล้มระบบทุนนิยม สร้างระบบสังคมนิยมที่ไม่มีชนชั้น และเปลี่ยนรูปแบบของครอบครัวจากที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไปเป็นการอยู่กันในลักษณะหลากหลายที่ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน
ก่อนที่เราจะล้มระบบทุนนิยมได้ เราต้องรณรงค์และต่อสู้กับการกดขี่ทุกรูปแบบและสนับสนุนการปฏิรูปสังคมเท่าที่จะทำได้อย่างต่อเนื่อง
เราชาวสังคมนิยมมองว่า ไม่ว่ามนุษย์ในสังคมจะเลือกเป็นเพศอะไร หรือเลือกที่จะรักเพศอะไร อย่างไร นับเป็นสิทธิที่ชอบธรรมอันดับแรกที่ควรเลือกได้ และพวกเราที่ต้องการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมจะต้องสนับสนุนสิทธิดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไข ตราบใดที่คนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ หรือสตรี ไม่มีสิทธิเต็มตัว สังคมเราไม่มีวันมีประชาธิปไตยและเสรีภาพสมบูรณ์ นี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่เราควรมีพรรคสังคมนิยมที่รณรงค์เรื่องนี้ในสังคมได้