โดย สมทรง ตรีแก้ว
๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ เวียนมาครบรอบอีกครั้ง และในปีนี้เป็นวันครบรอบ ๑๓ ปีของเหตุการณ์อาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อคนเสื้อแดงในการชุมนุมทางการเมือง การชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการชุมนุมกันเป็นระยะๆ เพื่อโหมโรงในการล้มล้างรัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งมีกองทัพและอำมาตย์หนุนหลัง ข้อเรียกร้องของ นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) คือเรียกร้องให้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยุบสภา และคืนอำนาจให้กับประชาชน เหตุผลคือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งมาได้ก็เนื่องจากการทำรัฐประหารของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสั่งยุบพรรคพลังประชาชน และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และหลังจากที่อภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล ก็ได้ร่วมมือกับกองทัพในการคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้ต่อต้านการรัฐประหารอย่างมาก ผลของการชุมนุมคือ กองทัพสลายการชุมนุมด้วยกำลังอาวุธ ทำให้มีคนตายในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ถึง ๒๗ คน แต่คนเสื้อแดงก็ยังยืนหยัดการชุมนุมต่อไป จนกระทั่งถูกกองทัพปราบปรามอย่างสิ้นเชิงในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และมีคนตายเกือบ ๑๐๐ คนในการชุมนุมตั้งแต่เดือนเมษา-พฤษาคม
การปราบปรามการชุมนุมในเดือนเมษา-พฤษภา ๒๕๕๓ กองทัพได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากพวกอำมาตย์และชนชั้นนายทุนที่เกลียดชัง ทักษิณ ชินวัตร และรังเกียจที่ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม โดยกล่าวหาว่าคนเสื้อเเดงโง่ ถูกนักการเมืองหลอกใช้ เข้าไม่ถึงข้อมูล มีเอ็นจีโอ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยและสื่อมวลชน เป็นกระบอกเสียงสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
พวกชนชั้นปกครองมักโฆษณาชวนเชื่อว่า สังคมไทยมีประชาธิปไตยแล้วเพราะประเทศเรามีการเลือกตั้ง แต่มาตรวัดว่าสังคมไทยมีประชาธิปไตยก็คือ กองทัพและผู้นำรัฐบาลอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องถูกดำเนินคดี แต่ผ่านมา ๑๓ ปีแล้วทั้งกองทัพและคณะรัฐบาลชุดนี้ไม่มีใครถูกดำเนินคดีเลยสักคน ผู้ที่มีส่วนในการสั่งสังหารประชาชนยังคงอยู่ดีกินดี และได้รับการยอมรับจากสังคมชนชั้นสูง ทั้งๆ ที่มีพยานหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฎต่อสาธารณะในวงกว้างเห็นถึงอาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อประชาชน แม้ว่าแกนนำ นปช.จะพยายามนำเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลก แต่ในฐานะนักมาร์กซิสต์ การนำคดีขึ้นศาลโลกเป็นการสร้างความฝันลมๆ แล้งๆ เพื่อปลอบประโลมคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะการนำเอาผู้นำกองทัพและรัฐบาลมาลงโทษนั้นจะต้องทำภายในประเทศโดยอาศัยพลังมวลชนกดดันกองทัพและอำมาตย์ แต่เนื่องจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประนีประนอมกับกองทัพ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ทำให้แม้ว่าศาลในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์มีคำสั่งในคดีการไต่สวนการตายว่า ผู้ชุมนุมตายเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ แต่ไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่คนใดเลยแม้แต่น้อย และจนถึงทุกวันนี้กองทัพก็ยังคงลอยนวลจากการกระทำผิดต่อคนเสื้อแดง
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖ พวกเราต้องรณรงค์ไม่เลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่สนับสนุนกองทัพ และบทพิสูจน์ว่านักการเมืองยืนหยัดในการสร้างประชาธิปไตยคือ ต้องมีนโยบายทางการเมืองโดยต้องชูเรื่องนำตัวผู้นำกองทัพและคณะรัฐบาลในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมาดำเนินคดีในข้อหา “ฆาตกรรมประชาชน” ถ้านักการเมืองไม่มีนโยบายนี้ก็เเสดงว่าพวกเขาไม่สนใจในการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง สิ่งที่นักการเมืองทำในระบบรัฐสภาก็เป็นเพียงเพื่อการไปยุ่งเกี่ยวกับการแบ่งสรรงบประมาณในการบริหารประเทศเท่านั้น และการสร้างประชาธิปไตยโดยไม่ชำระบาดเเผลของสังคมไทยในกรณีการสังหารคนเสื้อเเดง ย่อมเป็นได้แค่ประชาธิปไตยจอมปลอม
ถ้าเห็นด้วยกับแนวทาง “องค์กรสังคมนิยมแรงงาน” เชิญสมัครสมาชิก https://forms.gle/2apcTWX7sB9YCVhU6